วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตคลาสสิค




เริ่มรู้จักฟุตบอลครั้งแรก ตอนที่ช่องเก้านำรายการ ฟุตบอลดารา
มาออกอากาศตอนบ่ายสามของวันเสาร์ ยังพอจะจำไตเติ้ลรายการ
ได้ว่าเป็นภาพของพระราชวังบักกิ้งแฮม แล้วก็มีเสียงดนตรีเร้าใจนำเข้ารายการ
ตามด้วยเสียงทุ้ม ๆ นิ่ม ๆ ของผู้พากษ์ คุณประชา เทพาหุดี

ช่วงเวลาที่ช่องเก้า เอาฟุตบอลอังกฤษมาออกอากาศ
ช่องเจ็ดก็มีรายการฟุตบอลบราซิลออกอากาศช่วงดึกราวสี่ทุ่ม วันพุธ
สมัยนั้นทีวีที่บ้านมีเครื่องเดียวและยังเป็นขาวดำแบบต้องใช้มือบิดเปลี่ยนช่อง

การดูฟุตบอลอังกฤษไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะเป็นข้อต่อรอง
หลังจากช่วยแม่ทำงานบ้าน และเตรียมกับข้าวเสร็จ ถึงได้มานั่งดู
ส่วนฟุตบอลบราซิลต้องแอบพ่อมาค่อย ๆ เสียบปลั๊กทีวี
จะบิดเปลี่ยนช่องได้ก็ต้องค่อย ๆ บิดช้า ๆ ให้เกิดเสียงน้อยที่สุด
นั่งดูให้ใกล้ทีวีมากที่สุด เพราะต้องเปิดเสียงทีวีเบา ๆ และต้องคอยเงี่ยหูฟัง
ว่าพ่อจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้พุ่งตัวไปปิดทีวีทัน บางวันโดนพ่อจับได้
ก็ต้องเดินจ๋อย ๆ กลับไปนอน

ชื่อของลิเวอร์พูล น้อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ วาสโกดากาม่า เซาเปาโล คอรินเธียนส์
ก็เริ่มรู้จักคุ้นหูเอาตอนนั้น ชื่อเหล่านี้จึงกลายเป็นเฟิสท์อิมเพรสในวัยเด็ก
เข้าใจว่าช่วงนั้นผมเชียร์น้อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ด้วยซ้ำไป เพราะผมปักโลโก้
ของฟอเรสต์เป็นงานส่งอาจารย์ในวิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัย (สลน.)

เปลี่ยนมาเชียร์ลิเวอร์พูลตอนไหนยังจับผิดตัวเองไม่ได้

สมัยนั้นหนังสือสตาร์ซอคเกอร์ รายสัปดาห์ราคาสิบบาท (ถ้าจำไม่ผิด)
เป็นหนังสือที่ผมวิ่งมาที่แผงหนังสือทุกวันอังคาร เก็บตังค์ค่าขนมวันละบาท
เจ็ดวันเจ็ดบาท แล้วก็รดน้ำต้นไม้ให้แม่ขอตังค์เพิ่มได้อีกสามบาท
ซื้อสตาร์ซอคเกอร์รวมแล้วหลายร้อยเล่มวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ไม่เคยขาดแม้แต่เล่มเดียว วันนี้นึกไม่ออกจริง ๆ ว่า
หนังสือหลายร้อยเล่มนั้นหายไปไหน

ได้ดูถ่ายทอดสดฟุตบอลอังกฤษครั้งแรก น่าจะเป็นเกมรอบชิงเอฟเอคัพ
ระหว่างโคเวนทรีกับสเปอร์ ขอพ่อไปดูที่บ้านพี่ ที่ห่างกันแค่ข้ามคลองเล็ก ๆ
ออกไปทางหลังบ้าน นอกจากจะได้มีเพื่อนดูแล้ว ยังมีปาท่องโก๋จิ้มนม
เป็นของกินเล่นแถมมาด้วย


เมื่อเชียร์ลิเวอร์พูลก็ตามเอาใจช่วยเรย์ คลีเม้นซ์ เพราะอยากให้เค้าเป็นมือหนึ่ง
ของทีมชาติอังกฤษมากกว่าปีเตอร์ ชิลตัน ยังจำชื่ออลัน เคนเนดี้ เรย์ เคนเนดี้
แกรม ซูเนสส์ อลัน เฮนเซ่น มาร์ค ลอว์เรนสัน เคนนี่ เดลกลิช เอียน รัช
ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ จอห์น บาร์นส์ เคร็ก จอห์นสตัน แจน โมลบี้ จอห์น อัลดริจจ์
ได้อยู่

ถ้าจะให้นึกถึงนักฟุบอลรุ่นเก่า ๆ ที่พอจะนึกได้ มาตั้งใจเชียร์เอาจริง ๆ จัง ๆ
ตอนที่ลิเวอร์พูลแพ้อาร์เซน่อล 0: 2 เสียแชมป์ดิวิชั่น 1 ให้อาร์เซน่อลในนัดสุดท้าย
ของฤดูกาล

ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก รู้แต่ว่า “รู้สึกสงสาร” ซึ่งน่าจะเป็นเหตุให้ติดตามเชียร์
เวอร์พูลมาตั้งแต่นั้น พาลไม่ชอบอาร์เซน่อลแถมมาด้วย
ส่วนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยอมรับว่าไม่เคยสนใจเลย เพราะคิดว่าคู่แข่งสำคัญ
คืออาร์เซน่อลกับอีเวอร์ตัน (ตอนนั้นสตาร์ซอร์เกอร์ยังเรียกเอฟเวอร์ตันว่าอีเวอร์ตัน)

ความทรงจำที่เกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลบราซิลในอดีต
พอจะระลึกได้ประมาณนี้

พร้อม ๆ กับที่เชียร์บอลอังกฤษ ฟุตบอลไทยก็ติดตามมาตลอด
โดยเลือกเป็นกองเชียร์ของทีมการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพราะชอบลีลาเตะโหด ๆ
ของนำโชค ไชยเจริญ จำหัวฟู ๆ ของดาวยศ ดาราและลีลาลากเลื้อยของ
เชิดศักดิ์ ชัยบุตรได้ ไม่ชอบทีมธนาคารกรุงเทพ (แต่ตอนนี้มีเงินฝากอยู่แบงค์กรุงเทพ)
และเกลียดทีมทหารอากาศเข้าไส้ (เพราะเก่งเกินเหตุ)

แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเชียร์การท่าเรือเอาตอนไหน ? เรื่องนี้นึกสาเหตุและช่วงเวลา
ไม่ออกจริง ๆ

การตามดูฟุตบอลไทยทำให้ต้องเข้าสนามศุภชลาศัยฯ บ่อยมาก
ตกเย็น...วันไหนมีฟุตบอลก็ชวนเพื่อนที่เรียนมัธยมด้วยกันไปตาก-ลมเย็น ๆ
ข้าวเหนียวสองห่อซื้อหมูปิ้งห้าไม้พร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งขวด
ตีตั๋ว ๒๐ บาทบ้าง ๕๐ บาท

เชียร์บอลถ้วย ก. บ้าง บอลควีนส์คัพบ้าง

มีความสุขกับการดูบอลไทยในสนามพร้อม ๆ กับดูฟุตเทปบอลอังกฤษ
กับฟุตบอลบราซิลไปตามเรื่องตามราว

ยังจำเหตุการณ์บอลคิงส์คัพนัดชิงชนะเลิศระหว่างไทย กับเดนมาร์ก
ที่คนดูล้นลงไปขอบสนามจนนักฟุตบอลต้องมาขอร้องให้ขยับ
เพื่อให้เหลือพื้นที่ให้ได้ทุ่มบอลบ้าง

ช่วงหนึ่งมีฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพอีกรายการหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมสูงมาก
คนดูล้นทะลักสนามไทยญี่ปุ่นดินแดงอยู่อีกหลายปี ตอนนั้นแอบเอาใจเชียร์
ทีมจังหวัดสตูล ที่มีกองเชียร์-เชียร์กัน “โคตรมัน” และมีนักบอลเล่นกันแบบ
สู้ตายถวายหัว ฟุตบอลอาชีพของไทยน่าจะเกิดตอนนั้น

แต่ก็ไม่เกิด

ย้อนไปอีกนิดฟุตบอลนักเรียน “ปรินเซสคัพ” ก็ตามดู
จำชื่อนักฟุตบอลนักเรียนดัง ๆ เก่ง ๆ ได้สามคน

ตอฮา นาคนาวา ธาตรี ฉาบสุวรรณและประสงค์ พันธุ์สวัสดิ์

สองคนแรกไม่รู้ว่ายังอยู่ในวงการฟุตบอลหรือไม่ ?
แต่สำหรับ “เดอะเตี้ย” ประสงค์ พันธุ์สวัสดิ์ ตอนนี้นอกจากจะเป็นตำรวจ
ติดยศใหญ่โตแล้ว ยังได้ข่าวว่าคุมทีมนักเรียนเทพศิรินทร์อยู่ด้วย

ผมเคยดวลแข้งกับประสงค์สามครั้ง สมัยที่เล่นบอลนักเรียนของกรมพละศึกษา
และบอลนักเรียนกรุงเทพมหานคร

ประสงค์อยู่เทพศิรินทร์

ผมไล่เตะบอลอยู่โยธินบูรณะ

แข่งกันสามครั้งไม่เคยชนะสักครั้ง แพ้สามศูนย์ สี่ศูนย์

มากสุดเจอเข้าไปหกศูนย์

จึงรู้ตัวดีว่าเอาดีทางเตะบอลไม่ได้แน่ ไปเป็นนักดูบอลจะมีความเจริญรุ่งเรือง
ในชีวิตมากกว่า ที่เล่นก็แค่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ความทรงจำที่เกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษในอดีตพอจะระลึกได้ประมาณนี้


ยี่สิบปีผ่านไป

“กริ๊ง........”

หลังเสียงกริ่งสัญญาณหมดเวลาเรียนในคาบที่สี่ เพื่อนร่วมห้องหลายคน
แยกย้ายกันลงไปกินข้าวกลางวัน หลายคนเข้าห้องสมุด
หลายคนเดินเอื่อยเฉื่อยเพราะเห็นว่า เวลาห้าสิบนาทีมากพอ
ที่จะค่อย ๆ ดำเนินชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ

อีกกลุ่มหนึ่งคว้าบอลพลาสติกลูกละห้าบาท รีบวิ่งลงไปจองพื้นที่
ที่มีน้อยกว่าความต้องการอย่างรวดเร็ว ลูกบอลพลาสติกถูกเข็มเจาะเป็นรูเล็ก ๆ
ให้ลมผ่านออกมาบ้างทีละน้อย เพื่อจะได้ไม่แข็งเกินไป
สำหรับการเอาไปเล่นบนพื้นปูน

เราแบ่งข้าง ๆ ละสี่คน เอาก้อนหินสองก้อนมาวางระยะห่าง
ประมาณสามก้าว เราเรียกการเล่นตอนพักกลางวันแบบนี้ว่า

“บอลโกล์หนู”

ทีมไหนถูกยิงลูกบอลผ่านก้อนหินสองก้อน ต้องออกไปรอต่อคิว
เพื่อจะกลับเข้ามาเล่นใหม่ จะได้เล่นช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่า
มีทีมรอเล่นอยู่อีกกี่ทีม

ข้าวกลางวันไม่สนใจ หนังสือไม่ใส่ใจจะอ่าน ชีวิตเพื่อน ๆ กลุ่มนี้
สนุกสนานเร่งเร้าอะดรีนารีนในร่างกาย ไปกับการสมมติตัวเองว่า
เป็นนักฟุตบอลเก่ง ๆ คนใดคนหนึ่ง

เกือบทุกครั้งจะยืนเป็นผู้เล่นคนสุดท้าย ระแวดระวังเฝ้าพื้นที่
ที่มีระยะห่างแค่สามก้าว ไม่ให้ลูกบอลของทีมตรงข้ามผ่านไปได้
การยืนเป็นคนสุดท้ายของทีม ไม่ต้องใช้แรงมากนัก มีหน้าที่เตะบอล
ให้พ้น ๆ ตัวไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเพื่อนอีกสามคนไปจัดการกันเอง

แพ้บ้าง ชนะบ้าง ปน ๆ กัน
เราเล่นกันแบบไม่มีกรรมการมาคอยตัดสิน
เราตัดสินกันเองด้วยมิตรภาพของคำว่าเพื่อน


ห้าสิบนาทีหมดไปอย่างรวดเร็ว เสื้อนักเรียนสีขาวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
เหม็นสาบอยู่ไม่น้อย เวลาที่ต้องกลับขึ้นไปนั่งในห้องเรียนอีก

เลิกเรียนบ่ายสามโมงยี่สิบ พวกเราก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
ลงมาไล่เตะบอลพลาสติกลูกกลม ๆ แต่คราวนี้อยู่กันได้นาน
จนพระอาทิตย์หมดหน้าที่ประจำวัน ภารโรงของโรงเรียนต้องมาไล่ให้กลับบ้าน

ใครสักคนในกลุ่มถือลูกบอลพลาสติกกลับบ้านไปด้วย
เพื่อจะเอาไปเตะอัดกำแพงเล่นที่บ้าน หรือซ้อมเลี้ยงบอล
สมมติตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ชื่นชอบสักคน

ต้องมีสักครั้งล่ะน่า....ที่ต้องเคยสมมติตัวเองว่าเป็นฮีโร่คนใดคนหนึ่ง

บางวันซัดลูกไกลสามสิบห้าหลา เสียบมุมอย่างปิยะพงษ์ ผิวอ่อน /
บางวันต่อยลมวืดวาดอยู่คนเดียว สมมติว่าตัวเองเป็นแชมป์โลก
เพราะสะใจที่เขาทราย กาแล็คซี่ชนะคู่ชก /
บางวันก็หยิบไม้กวาดมาแทนกีต้าร์ กรีดนิ้วโซโล่อย่าง เมามัน
พร้อม ๆ กับจินตนาการว่ามีแฟนเพลงส่งเสียงกรี๊ดอยู่ล่างเวที
สมมติตัวเองเป็นแอ๊ด คาราบาว

โลกในวัยเรียนมัธยมปลายเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว จึงเต็มไปด้วยชีวิตการเรียน
ที่เคลือบสาบเหงื่อของฮี่โร่ไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่เป็นเช่นนั้น (อาจ) เป็นเพราะ
ไม่มีคาราโอเกะในห้าง ไม่มีร้านเหล้าปั่นข้างรั้วโรงเรียน
ไม่มีเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันมาทำให้ไขว้เขว

“มีแต่เพื่อน ฟุตบอลโกล์หนู และไม้เรียวของคุณครู”


เป็นสามสิ่งที่หลอมคนให้เป็นคนจนวันนี้ ถ้าจะเรียกชีวิตช่วงนั้นว่าเป็น
“ชีวิตคลาสสิค” ก็น่าจะได้

นึกถึงกระป๋องนมถูกเจาะรูผูกด้วยเชือกฟางสีเขียว ข้างในมีกาแฟผง
ที่ชงด้วยฝีมืออาแป๊ะหน้าปากซอย เดินบ้างวิ่งบ้างออกไปซื้อให้พ่อทุกเช้า
กลับมาพร้อมปาท่องโก๋สามคู่ นั่นก็เป็นความคลาสสิค (ในชีวิต) อีกเรื่องหนึ่ง

ตั๋วหนังโรงหนังเอเธนส์ แมคเคนน่า พาราไดซ์ เพชรราม่า เพชรเอ็มไพร์
ลิโด สกาล่า สยาม
หรือแม้กระทั่ง ศรีย่าน เธียร์เตอร์ นนทบุรีราม่า ศรีพรสวรรค์
ที่ใช้ลายไทยเป็นหลักในการออกแบบ

คนฉีกตั๋วจะฉีกตรงกลางตามรอยเส้นปรุ ส่งคืนมาให้เราครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งหนึ่งหย่อนใส่กล่องก่อนเข้าประตูโรงหนัง
วันนี้โรงหนังทุกโรงปิดตัวไปแล้ว ช่วงหลังจึงขอคนเก็บตั๋ว
เก็บเป็นที่ระลึกเต็ม ๆ ใบ

นั่นก็อีกหนึ่งของความคลาสสิค ที่ยังเก็บใส่กล่องไว้อย่างดี
หยิบขึ้นมาดูครั้งไหนก็อิ่มเอมใจเมื่อนั้น

มีจดหมายที่แฟนเก่าเขียนตอบสมัยเริ่มทำงานใหม่ ๆ อีกสี่ห้าฉบับ
หยิบขึ้นมาอ่านครั้งไหนก็ยังสุขใจทุกครั้ง

ดีวีดีเกมลิเวอร์พูลพลิกโลกกลับมาเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
ด้วยชัยชนะเหนือเอซีมิลาน ถูกเปิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีก

ภาพที่เตะบอลใต้ตึก
วิ่งซื้อกาแฟให้พ่อ
ตั๋วโรงหนัง
จดหมายแฟนเก่า
ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์
เล่นทอยตุ๊กตุ่น
โดดหนังยางด้วยห้าท่ามาตรฐาน (ข้อเท้า เข่า เอว อก หัว)
เกมกระต่ายขาเดียว ฯลฯ


นึกถึงครั้งไหน

หัวใจก็อิ่ม
ภาพประกอบบทความจาก http://www.ndesign-studio.com/images/portfolio/graphic/soccer-player-1.jpg

1 ความคิดเห็น:

  1. ถูกใจมากเพิ่งอ่านเจอชีวิตเด็กมัธยมทุกคนเป็นอย่างที่เล่าเลยแต่ของผมเก็บตังซื้ออีกเล่มชื่อชู๊ตโกลเครือเดียวกับสตาร์ซอคเกอร์อ่านแล้วอิ่มอกอิ่มใจ

    ตอบลบ