วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แผ่นดินที่ตีนไม่อยากไปเหยียบ


ผมเหยียบแผ่นดินต่างชาติครั้งแรกตอนอายุ ๒๕ ปี
นับว่าช้าไปพอสมควรเมื่อนำไปเทียบกับชีวิตงานเอเจนซี่และออกาไนเซอร์
จนมาถึงอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย

ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่รู้สึกเสียดายเงินส่วนตัวที่ต้องเอาทิ้งจำนวนไม่น้อย
(ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่บริษัทและมหาวิทยาลัยฯ ออกค่าเดินทาง ค่าที่พัก
ค่าอาหารให้ทั้งหมด)

ประกอบกับช่วงนั้น "อิน" ไปกับแคมเปญการท่องเที่ยวในประเทศไทย
ที่ทำให้เราเชื่อว่ายังมีอีกหลายสถานที่ ที่ควรจะไปเยี่ยมเยือน

แต่ชีวิตคนเรามันก็แปลก
อะไรก็ตามยิ่งหนียิ่งเจอ อะไรที่อยากเจอยิ่งหาไม่พบ

การเดินทางไกลครั้งแรก
ทำให้เกิดการเดินทาง ครั้งต่อมาอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด

ญี่ปุ่น / ออสเตรเลีย / นิวซีแลนด์ / เยอรมัน / สาธารณรัฐเช็ก /
เกาหลีใต้ / อเมริกา / อังกฤษ / สิงคโปร์ / มาเลเซีย /เวียดนาม /

วนกลับมาออสเตรเลีย / นิวซีแลนด์ / ญี่ปุ่น ทั้งหมดไล่เรียงลำดับภายใน ๖ ปี
เฉลี่ยแล้วเดินทาง ปีละ ๒ ครั้งเป็นอย่างน้อย

เกือบทั้งหมดเดินทางเพื่อ “ดูงาน” ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว

ผมค่อนข้างจะมีทัศนคติที่แย่เอามาก ๆ กับคำว่า ดูงาน
(จะมีช่วงหลัง ๆ ที่เดินทางเพื่อ "ทำงาน")

เหตุผลก็คือ
การดูงานคือการผลาญเงินงบประมาณที่ควรจะนำไปใช้พัฒนาด้านอื่น
รู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้ง ที่การดูงานเป็นเพียงคำที่ประดิษฐ์สวย ๆ
แปะไว้ข้างหน้า ๒ วัน แล้วสอดไส้การไปเที่ยว อีก ๔ วัน

ผมจึงมักแหกคอกคณะทัวร์อยู่เสมอ ๆ สี่วันที่ให้เที่ยวผมจะคอยซิกแซก
ไปดูวัฒนธรรม ไปดูบ้านเมือง ไปดูวิถีชีวิตคนในตลาด
ไปอาร์ตแกลลอรี่ ไม่นั่งสวนสาธารณะ มากกว่าจะไปเดินช้อปปิ้ง
หรือเข้าออกร้าน เอาท์เล็ท


ผมไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตเพราะอยู่ในสายงานออกแบบกราฟฟิก
แน่นอนที่สุดว่าถ้าจะดูงานบรรจุภัณฑ์คุณต้องไปที่ญี่ปุ่น

และผมก็คงเหมือนกับหลายคนในโลกนี้ที่ชื่นชมไฟต์ติ้งสปิริต
ของคนญี่ปุ่น หลังประเทศพ่ายแพ้สงครามโลกอย่างยับเยิน
เลือดนักสู้ถูกก่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็น
ดีเอ็นเอพิเศษของลูกพระอาทิตย์

อย่างไม่มีวันจะถูกลบล้างไปจากจิตวิญญาณได้


๒๐ ปีที่แล้ว คนในวัย ๔๐ อย่างผม....
มีความสุขมากกับการที่เห็นทีมฟุตบอลไทยยุคปิยะพงษ์ ผิวอ่อน
นำทีมลงเตะปรีโอลิมปิกรอบ ๑๐ ทีมสุดท้ายกับญี่ปุ่น (ที่ประเทศสิงคโปร์)
ไล่เตะ ไถล่ม จนเกมจบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติไทย

สกอร์ ๕ : ๒

ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย ทีมฟุตบอลไทยอยู่เหนือญี่ปุ่น

คนญี่ปุ่นทำอะไรทำจริง วางเป้าหมายสูง ทะเลาะกันรุนแรงในวงประชุม
แต่พวกเค้าจะถอดวางทุกอย่างแล้วกอดคอกินเหล้ากันได้อย่างไม่เคอะเขิน
หรือติดใจในความขัดแย้งที่เพิ่งเกิดขึ้น

คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
จริง...ตามก้อปปี้โฆษณา
แต่คนไทยมักพ่ายแพ้ต่ออีโก้ในตัวเอง
จนกลายเป็นชนวนการทำลายจิตวิญญาณของการต่อสู้อยู่เนือง ๆ

....................................................................................

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่สอง
คราวนี้ไปเรียนวิชา "เครือข่ายความสัมพันธ์ของประชากร"
ผมจำชื่อภาษาอังกฤษได้ไม่แม่นยำนัก
จึงขอใช้ภาษาไทยแทน

เป็นวิชาที่ผมชอบมาก ๆ เพราะทำให้เราได้เรียนรู้ความแตกต่าง
ของมนุษย์อย่างมีหลักการ ตามหาร่องรอยมีหลักฐานต่าง ๆ
ที่บรรพบุรุษมนุษย์ทิ้งเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ และเดินทามทฤษฎีอย่างเข้มข้น

ที่สำคัญที่สุด คือ ครูที่สอนวิชานี้เป็นผู้หญิงสาวที่สวยเอามาก ๆ

การเรียนตลอด ๑ เดือน จึงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสำหรับผม

สิ่งเดียวที่ทำให้ผมกลับมามองออสเตรเลียด้วยมุมมองที่แปลกไปบ้าง
คือ พวกเค้ามีอาณาเขตของประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลจ นภูมิศาสตร์เรียกว่า

ทวีปออสเตรเลีย

แต่คนของเค้ากลับใช้ชีวิตอยู่แค่ขอบของทวีป

เป็นแค่คนชายขอบที่เรียตัวเองว่าอารยชน

ยึดพื้นที่ติดน้ำเป็นแหล่งอาศัย โดยปล่อยให้เจ้าของพื้นที่ที่แท้จริง
อาศัยอยู่ในทะเลทรายกลางทวีป

เหมือนกับที่ฝรั่งอารยะอย่างอเมริกันทำไว้กับเจ้าของพื้นที่
อย่างอินเดียนแดง

..............................................................................

อเมริกา
ผมไม่ชอบประเทศนี้.....

ทุกสิ่งทุกอย่างในวิถีอเมริกัน ตรงข้ามกับรสนิยมส่วนตัวอย่างยิ่ง

ผมไม่ชอบเล่นการพนัน แต่ต้องไปดูงานการจัดการงานบันเทิงที่เวกัส

ผมไม่ชอบการเดินทางไกล แต่ต้องเดินทางข้ามเมืองข้ามรัฐที่ต้องเสียเวลาเป็นวัน

ผมไม่ชอบอาหารจังก์ฟู้ด แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่วันละมื้อเป็นอย่างน้อย


โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่ชอบเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันในเมืองไทย
(ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทย)

ที่ถูกวัฒนธรรมกดขี่คนผิวเหลืองครอบงำ

ผมเจอพฤติรรมที่ไม่ให้เกียรติคนไทยที่ไปยื่นขอวีซ่า
จากภาษาและท่าทางที่แสดงออก

เชื่อมั้ยครับว่าผมโดนประทับวีซ่าอเมริกาแค่ ๑๐วัน
(ตามจำนวนวันที่เอกสารขอไปดูงาน) ในขณะที่คนอีกคนที่ยืนต่อแถวข้างหลัง
ได้ประทับตรา ๑๐ ปี ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่สุด

“ฉันไม่ได้ยินคุณตอบคำถามฉันเมื่อกี้ ทำไมต้องให้ฉันพูดสองครั้งด้วย”

อเมริกาเปลี่ยนไปมากหลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยา
พวกเค้าพ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อศัตรูที่คุณไม่มีทางจับตัวได้

ผมคิดเรื่องนี้หลังจากที่ต้องยืนเข้าแถวรอเข้ายูนิเวอร์แซลสตูดิโอ
นานร่วมสองชั่วโมง เพราะเจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจคนเข้าและออกอย่างละเอียด

รัฐบาลอเมริกาต้องเสียเงินทองไปอีกมากมาย
เพื่อสร้างระบบป้องกันไม่ให้ประเทศถูกโจมตี

แค่นั้นก็คือภาพของความพ่ายแพ้ต่อสงคราม
ที่อเมริการบกี่ครั้งก็ไม่มีวันชนะ

ผมไม่ชอบที่อเมริกาชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก
สร้างภาพสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติ
แต่มืออีกข้างหนึ่งส่งจรวดถล่มซูดาน
พร้อม ๆกับหลิ่วตาให้นักค้าอาวุธ

อเมริกันมีหลากหลายวิธีที่จะโจมตีรุกรานทั้งการเมือง การทหารและเศรษฐกิจ

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่ผมชอบมาก ๆ คือ ...
"องค์การนาซ่าของอเมริกาทุ่มเทสรรพกำลัง และงบประมาณ
จำนวนมหาศาล เพื่อสร้างปากกาให้นักบินอวกาศเขียนได้
ในสภาพไร้แรงดึงดูดได้
(ปากกาจะต้องใช้กฏของแรงดึงดูด
เพื่อให้หมึกไหลออกมาอย่างสม่ำเสมอ)


แต่สหภาพโซเวียตกลับยักไหล่ที่จะลงทุนเพื่อการนั้น

เพราะพวกเค้าพกดินสอขึ้นไปใช้งาน

มันเป็นตลกร้ายที่ผมขำก๊ากกกกก...ทุกครั้งที่นึกถึง
โดยนึกถึงหน้าจอร์ช บุช ประกอบไปด้วย

ผมชอบอเมริกันอยู่เรื่องเดียวจริง ๆ คือ
เกมอเมริกันฟุตบอล ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และวิเคราะห์ชีวิต
นำมาปรับใช้ และเป็นตัวอย่างในห้องเรียน ได้ค่อนข้างชัดเจน

บรรทัดนี้คงต้องขอกราบแทบพระบาทในหลวงของเราที่สายพระเนตรยาวไกล
รักษาสัมพันธ์กับประเทศจีนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

จีนนี่แหละครับ ที่อเมริกันกลัวจนขี้ขึ้นสมอง ลองกลับไปมองกันลึก ๆ
ถึงประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมาไม่นาน

จีนเกือบล้มเพราะพิษโรคซาร์

เพราะการสมคบคิดจากอเมริกาและพันธมิตร
เพียงเพื่อต้องการหยุดการเจริญเติบโตของยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย

ยิ่งพูดยิ่งลงลึกไปทุกที .....

เบื้องลึกเบื้องหลังจากแต่ละประเทศมีมาก ในมุมมองแบบนี้
มีมากพอ ๆ กับความเน่าในของประเทศไทยจากฝีมือนักการเมืองไทย

....................................................................

ผมขอสรุปตอบสั้น ๆ จากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศอื่น ๆ

ประเทศที่ต้อนรับคนไทยมากที่สุด คือ นิวซีแลนด์

ประเทศที่น่าไปเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์มากที่สุด คือ สาธารณรัฐเชก

ประเทศที่น่าไปใช้ชีวิตเพื่อการบริโภคให้อร่อยลิ้นมากที่สุด คือ เวียดนาม

ประเทศที่ควรไปดูงานและนำกลับมาประยุกต์ใช้ในประเทศได้มากที่สุด คือ เยอรมัน

ประเทศที่น่าไปเอาใบปริญญามาประดับตัวมากที่สุด
เมื่อคิดถึงองค์ประกอบรอบด้าน คือ มาเลเซียและสิงคโปร์ ตามลำดับ

ประเทศที่น่าอยู่ที่สุด คือ ประเทศไทย

ถ้า............................

ไม่มีนักการเมืองรุ่นไดโนเสาร์

และประเทศที่ไม่น่าคบมากที่สุด คือ

กัมพูชา

ไม่ใช่ตามกระแสความขัดแย้ง แต่ผมรู้สึกมานานแล้ว จนกระทั่งถูกสำทับด้วย
คำบอกเล่าของเพื่อนที่ทำงานวิศกรที่นั่นมานับสิบปี

“ประเทศนี้เต็มไปด้วยคนโกง คบไม่ได้และไม่ซื่อสัตย์”


โชคดีของตีนผม
ที่ไม่เคยไปเหยียบที่นั่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น